Web Analytics
No module Published on Offcanvas position

ตอนที่ 3 ความผิดปกติการขาดหายหรือเกิน ไปบางส่วนของโครโมโซม

ความผิดปกติการขาดหายหรือเกิน ไปบางส่วนของโครโมโซม

การขาดหายไปบางส่วนของโครโมโซม (microdeletion) คือ ภาวะที่ชิ้นส่วนเล็กๆ ของโครโมโซมขาดหายไป ในขณะที่การมีบางส่วนเกินมา (microduplication) คือภาวะที่มีชิ้นส่วนขนาดเล็กเกินมาในโครโมโซม ความผิดปกติทั้งสองประเภทนี้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการของเด็ก ทำให้มีอาการผิดปกติต่างๆ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของชิ้นส่วนโครโมโซมที่ผิดปกติ โดยตัวอย่างโครโมโซมที่เกิดความผิดปกติในลักษณะขาดหายไปหรือเกินมาบางส่วน(microdeletion/microduplication) มีดังนี้

  1. กลุ่มอาการ DiGeorge Syndrome หรือกลุ่มอาการ 22q11.2 Deletion Syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างยาว (q) ของโครโมโซมคู่ที่ 22 ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบหัวใจพิการภาพโดยแต่กำเนิด การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี และภาวะขาดไทรอยด์ โรคนี้เป็นโรคที่ต้องการการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาดูแลควบคู่กัน เนื่องจากจะพบความผิดปกติของร่างกายได้หลายๆระบบ

ภาพโดย https://www.mdpi.com/1422-0067/24/4/4242 

 

  1. กลุ่มอาการ Cri-du-chat syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างสั้น (p) ของโครโมโซมคู่ที่ 5 ทำให้ทารกมีเสียงร้องแหลมสูงคล้ายเสียงแมว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรค "Cri du Chat" ที่แปลว่า "เสียงร้องของแมว" ในภาษาฝรั่งเศส กลุ่มอาการนี้ส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา มีพัฒนาการล่าช้า มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้และการเข้าใจ และมีลักษณะใบหน้าเฉพาะตัว เช่น ใบหน้ากลม ศีรษะเล็ก ตาห่าง คางและขากรรไกรเล็ก จมูกกว้างและแบน ตำแหน่งของหูอยู่ต่ำกว่าปกติ เป็นต้น โดยยังไม่มีวิธีรักษาภาวะนี้ได้โดยตรง แต่จะรักษาตามอาการที่พบเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ภาพโดย https://story.motherhood.com.my/blog/cri-du-chat-syndrome-what-parents-should-know/ 

 

3 กลุ่มอาการ Williams-Beuren syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างยาว (q) ของโครโมโซมคู่ที่ 7 ทำให้มีลักษณะทางกายภาพเฉพาะตัว เช่นน สันจมูกแบน จมูกเชิดขึ้น ริมฝีปากหนา ปากกว้างกว่าปกติ และมีช่องว่างระหว่างฟัน นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีพัฒนาการล่าช้า ปัญหาทางสติปัญญา และความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยโรคนี้ยังไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจง แต่จะเน้นการรักษาตามอาการ เช่น การบำบัดทางกายภาพบำบัดกิจกรรมบำบัด และการดูแลทางหัวใจ

ภาพโดย https://www.osmosis.org/learn/Williams_syndrome

 

  1. กลุ่มอาการ Jacobsen Syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA ที่ปลายแขนข้างยาว (q) ของโครโมโซมคู่ที่ 11 ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนา พัฒนาการด้านสติปัญญา ปัญหาพฤติกรรม ลักษณะใบหน้าที่เด่นชัด (เช่น หน้าผากสูง เปลือกตาตก) และความผิดปกติแต่กำเนิด โดยเฉพาะโรคหัวใจ และภาวะเลือดออกผิดปกติ ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้โรคหายขาดได้ การรักษามุ่งเน้นไปที่การดูแลตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น การทำกายภาพบำบัด การบำบัดด้วยกิจกรรม และการรักษาภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ภาพโดย https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/jacobsen-syndrome

  1. กลุ่มอาการ Prader-Willi syndrome และกลุ่มอาการ Angelman Syndrome เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 15 บริเวณ 15q11-q13 แต่จะแตกต่างกันที่ว่า ยีนที่ขาดหายไปมาจากพ่อหรือแม่ โดยปกติลูกจะได้รับโครโมโซมแท่งหนึ่งมาจากแม่ และอีกแท่งหนึ่งมาจากพ่อ ซึ่งกลุ่มอาการ Prader-Willi syndrome เป็นผลมาจากการสูญเสียการทำงานของยีนที่อยู่บนโครโมโซมที่มาจากพ่อทำให้เกิดความผิดปกติทางด้านการพัฒนาของทารก ความบกพร่องทางสติปัญญา และพบปัญหาการเรียนรู้ ปัญหาทางพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมีมีลักษณะทางกายที่จำเพาะ เช่น ดวงตาทรงอัลมอนด์ ศีรษะมีลักษณะยาวและแคบ ปากเป็นรูปสามเหลี่ยม รูปร่างแคระแกร็น มือและเท้าเล็ก และอวัยวะเพศไม่เจริญเติบโต

ส่วนกลุ่มอาการ Angelman Syndrome เป็นผลมาจากการสูญเสียการทำงานของยีนที่อยู่บนโครโมโซมที่มาจากแม่ ซึ่งส่งผลต่อการพูด พัฒนาการ และการเคลื่อนไหวของเด็ก โดยเด็กมักจะมีการแสดงออกที่ชัดเจน อาจยิ้มและหัวเราะบ่อยๆ หรือตื่นเต้นง่าย และมีลักษณะทางกายภาพที่จำเพาะ เช่น กะโหลกศีรษะสั้นและกว้าง ลิ้นใหญ่ ขากรรไกรล่างใหญ่ ปากกว้าง และมีฟันห่างกันมาก

 ภาพโดย https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/17978-angelman-syndrome

 

  1. กลุ่มอาการ 1p36 deletion syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างสั้น (p) ของโครโมโซมคู่ที่ 1 ทำให้เกิดความบกพร่องในการเรียนรู้ มีปัญหาการสื่อสาร การมองเห็นหรือการได้ยินบกพร่อง รวมถึงมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ และกล้ามเนื้อ โรคนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาตามอาการที่ปรากฏได้

ภาพโดย http://onep36.squarespace.com/1p36-dsa-blog/;jsessionid=271EEB6413019C0047F6A9575E805CC3.v5-web007?currentPage=5

 

ถึงแม้ว่าการตรวจ NIPT จะมีประโยชน์มาก แต่ก็เป็นการตรวจคัดกรอง (screening test) ไม่ใช่การตรวจวินิจฉัย (diagnostic test) ดังนั้นการตรวจ NIPT จึงมีข้อจำกัดหรือความเสี่ยงบางประการ ได้แก่

  1. กรณีผลเป็นผลบวกลวง (False positive) ผลที่บอกว่า มีความเสี่ยงสูง แต่ในความเป็นจริงทารกอาจไม่มีความผิดปกติ ทำให้จำเป็นต้องยืนยันด้วยการทดสอบรุกราน เช่น การเจาะตรวจน้ำคร่ำ
  2. กรณีผลเป็นผลลบลวง (False negative) มีโอกาสที่ผลจะบอกว่า ความเสี่ยงต่ำ แต่ทารกมีความผิดปกติจริง ซึ่งอาจจะมาจาก อัตราส่วนของดีเอ็นเอของทารกหรือรก (fetal fraction) ต่ำ ที่เกิดจากเจาะเลือดเร็วเกินไป หรือมารดามีน้ำหนักค่อนข้างสูง หรือภาวะ mosaicism ทำให้ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมได้
  3. ไม่ครอบคลุมทุกความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งการตรวจ NIPT โดยมากจะคัดกรองเฉพาะโครโมโซมที่เลือกไว้ (trisomies, sex chromosomes, microdeletions บางประเภท) แต่ไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติทั้งหมดได้ เช่น พันธุกรรมบางชนิดที่ไม่ได้อยู่ใน panel ที่ใช้
  4. ผลไม่ออก (inconclusive) กรณีที่เลือดแม่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้เพราะ fetal fraction ต่ำ หรือมีเงื่อนไขที่ทำให้ cfDNA มีปัญหา เช่น การถ่ายเลือดภายนอก (blood transfusion) หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ

 

Maneesawan Dansawan