ความผิดปกติการขาดหายหรือเกิน ไปบางส่วนของโครโมโซม
การขาดหายไปบางส่วนของโครโมโซม (microdeletion) คือ ภาวะที่ชิ้นส่วนเล็กๆ ของโครโมโซมขาดหายไป ในขณะที่การมีบางส่วนเกินมา (microduplication) คือภาวะที่มีชิ้นส่วนขนาดเล็กเกินมาในโครโมโซม ความผิดปกติทั้งสองประเภทนี้อาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาการของเด็ก ทำให้มีอาการผิดปกติต่างๆ ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและขนาดของชิ้นส่วนโครโมโซมที่ผิดปกติ โดยตัวอย่างโครโมโซมที่เกิดความผิดปกติในลักษณะขาดหายไปหรือเกินมาบางส่วน(microdeletion/microduplication) มีดังนี้
- กลุ่มอาการ DiGeorge Syndrome หรือกลุ่มอาการ 22q11.2 Deletion Syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างยาว (q) ของโครโมโซมคู่ที่ 22 ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบหัวใจพิการภาพโดยแต่กำเนิด การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี และภาวะขาดไทรอยด์ โรคนี้เป็นโรคที่ต้องการการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาดูแลควบคู่กัน เนื่องจากจะพบความผิดปกติของร่างกายได้หลายๆระบบ
ภาพโดย https://www.mdpi.com/1422-0067/24/4/4242
- กลุ่มอาการ Cri-du-chat syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างสั้น (p) ของโครโมโซมคู่ที่ 5 ทำให้ทารกมีเสียงร้องแหลมสูงคล้ายเสียงแมว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อโรค "Cri du Chat" ที่แปลว่า "เสียงร้องของแมว" ในภาษาฝรั่งเศส กลุ่มอาการนี้ส่งผลให้เกิดความบกพร่องทางสติปัญญา มีพัฒนาการล่าช้า มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้และการเข้าใจ และมีลักษณะใบหน้าเฉพาะตัว เช่น ใบหน้ากลม ศีรษะเล็ก ตาห่าง คางและขากรรไกรเล็ก จมูกกว้างและแบน ตำแหน่งของหูอยู่ต่ำกว่าปกติ เป็นต้น โดยยังไม่มีวิธีรักษาภาวะนี้ได้โดยตรง แต่จะรักษาตามอาการที่พบเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ภาพโดย https://story.motherhood.com.my/blog/cri-du-chat-syndrome-what-parents-should-know/
3 กลุ่มอาการ Williams-Beuren syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างยาว (q) ของโครโมโซมคู่ที่ 7 ทำให้มีลักษณะทางกายภาพเฉพาะตัว เช่นน สันจมูกแบน จมูกเชิดขึ้น ริมฝีปากหนา ปากกว้างกว่าปกติ และมีช่องว่างระหว่างฟัน นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีพัฒนาการล่าช้า ปัญหาทางสติปัญญา และความผิดปกติของระบบหัวใจและหลอดเลือด โดยโรคนี้ยังไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจง แต่จะเน้นการรักษาตามอาการ เช่น การบำบัดทางกายภาพบำบัดกิจกรรมบำบัด และการดูแลทางหัวใจ
ภาพโดย https://www.osmosis.org/learn/Williams_syndrome
- กลุ่มอาการ Jacobsen Syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA ที่ปลายแขนข้างยาว (q) ของโครโมโซมคู่ที่ 11 ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนา พัฒนาการด้านสติปัญญา ปัญหาพฤติกรรม ลักษณะใบหน้าที่เด่นชัด (เช่น หน้าผากสูง เปลือกตาตก) และความผิดปกติแต่กำเนิด โดยเฉพาะโรคหัวใจ และภาวะเลือดออกผิดปกติ ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้โรคหายขาดได้ การรักษามุ่งเน้นไปที่การดูแลตามอาการที่เกิดขึ้น เช่น การทำกายภาพบำบัด การบำบัดด้วยกิจกรรม และการรักษาภาวะสุขภาพอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ภาพโดย https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/jacobsen-syndrome
- กลุ่มอาการ Prader-Willi syndrome และกลุ่มอาการ Angelman Syndrome เป็นโรคทางพันธุกรรมที่เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 15 บริเวณ 15q11-q13 แต่จะแตกต่างกันที่ว่า ยีนที่ขาดหายไปมาจากพ่อหรือแม่ โดยปกติลูกจะได้รับโครโมโซมแท่งหนึ่งมาจากแม่ และอีกแท่งหนึ่งมาจากพ่อ ซึ่งกลุ่มอาการ Prader-Willi syndrome เป็นผลมาจากการสูญเสียการทำงานของยีนที่อยู่บนโครโมโซมที่มาจากพ่อทำให้เกิดความผิดปกติทางด้านการพัฒนาของทารก ความบกพร่องทางสติปัญญา และพบปัญหาการเรียนรู้ ปัญหาทางพฤติกรรม นอกจากนี้ยังมีมีลักษณะทางกายที่จำเพาะ เช่น ดวงตาทรงอัลมอนด์ ศีรษะมีลักษณะยาวและแคบ ปากเป็นรูปสามเหลี่ยม รูปร่างแคระแกร็น มือและเท้าเล็ก และอวัยวะเพศไม่เจริญเติบโต
ส่วนกลุ่มอาการ Angelman Syndrome เป็นผลมาจากการสูญเสียการทำงานของยีนที่อยู่บนโครโมโซมที่มาจากแม่ ซึ่งส่งผลต่อการพูด พัฒนาการ และการเคลื่อนไหวของเด็ก โดยเด็กมักจะมีการแสดงออกที่ชัดเจน อาจยิ้มและหัวเราะบ่อยๆ หรือตื่นเต้นง่าย และมีลักษณะทางกายภาพที่จำเพาะ เช่น กะโหลกศีรษะสั้นและกว้าง ลิ้นใหญ่ ขากรรไกรล่างใหญ่ ปากกว้าง และมีฟันห่างกันมาก
ภาพโดย https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/17978-angelman-syndrome
- กลุ่มอาการ 1p36 deletion syndrome เป็นภาวะทางพันธุกรรมที่เกิดจากจากการขาดหายไปของชิ้นส่วน DNA บนแขนข้างสั้น (p) ของโครโมโซมคู่ที่ 1 ทำให้เกิดความบกพร่องในการเรียนรู้ มีปัญหาการสื่อสาร การมองเห็นหรือการได้ยินบกพร่อง รวมถึงมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ และกล้ามเนื้อ โรคนี้ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด แต่สามารถรักษาตามอาการที่ปรากฏได้
ถึงแม้ว่าการตรวจ NIPT จะมีประโยชน์มาก แต่ก็เป็นการตรวจคัดกรอง (screening test) ไม่ใช่การตรวจวินิจฉัย (diagnostic test) ดังนั้นการตรวจ NIPT จึงมีข้อจำกัดหรือความเสี่ยงบางประการ ได้แก่
- กรณีผลเป็นผลบวกลวง (False positive) ผลที่บอกว่า มีความเสี่ยงสูง แต่ในความเป็นจริงทารกอาจไม่มีความผิดปกติ ทำให้จำเป็นต้องยืนยันด้วยการทดสอบรุกราน เช่น การเจาะตรวจน้ำคร่ำ
- กรณีผลเป็นผลลบลวง (False negative) มีโอกาสที่ผลจะบอกว่า ความเสี่ยงต่ำ แต่ทารกมีความผิดปกติจริง ซึ่งอาจจะมาจาก อัตราส่วนของดีเอ็นเอของทารกหรือรก (fetal fraction) ต่ำ ที่เกิดจากเจาะเลือดเร็วเกินไป หรือมารดามีน้ำหนักค่อนข้างสูง หรือภาวะ mosaicism ทำให้ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติของโครโมโซมได้
- ไม่ครอบคลุมทุกความผิดปกติทางพันธุกรรม ซึ่งการตรวจ NIPT โดยมากจะคัดกรองเฉพาะโครโมโซมที่เลือกไว้ (trisomies, sex chromosomes, microdeletions บางประเภท) แต่ไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติทั้งหมดได้ เช่น พันธุกรรมบางชนิดที่ไม่ได้อยู่ใน panel ที่ใช้
- ผลไม่ออก (inconclusive) กรณีที่เลือดแม่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้เพราะ fetal fraction ต่ำ หรือมีเงื่อนไขที่ทำให้ cfDNA มีปัญหา เช่น การถ่ายเลือดภายนอก (blood transfusion) หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ